บทสรุป Extra Stories: Flamechurch

เมื่อมาถึงที่เมือง Flamechurch พวกเราได้มารวมตัวกันและรู้สึกถึงความผิดปกติภายในเมืองเพราะตอนนี้มันเงียบมาก
พาร์เททิโอ: มันเงียบ เงียบเกินไป
โอชุตต์: แต่กลิ่นนี้…มันเป็นกลิ่นของมนุษย์ พวกเขากำลังกลัวและซ่อนตัวอยู่
โทรเน่: มีใครกำลังมา

ปรากฏว่าคนที่กำลังเดินมาหาพวกเราก็คือมิ้นท์
เทเมนอส: มิ้นท์!
มิ้นท์: นั่นนายหรอเทเมนอส? ทำไมออกมาเดินเล่นในสถานที่แบบนี้ล่ะ? นายนี่มักจะมีนิสัยชอบเอาจมูกไปยื่นในที่ที่ไม่ควรอยู่
โทรเน่: เพื่อนนายงั้นหรอเทเมนอส?
เทเมนอส: จะว่าอย่างงั้นก็ได้…แต่ก็มีอะไรบางอย่างแปลกไป
มิ้นท์: ฮี่ฮี่ นายล้มเหลวในการมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของนาย “มีเงาอยู่เคียงข้างคุณเสมอ” ฮี่ฮี่ ฮาฮาฮาฮา
เทเมนอส: เธอเป็นอะไรกันแน่? นี่เป็นการสอบสวน หากปฏิเสธที่จะตอบคำถามและ…
มิ้นท์: การพยายามเอาชนะผู้อื่นด้วยการข่มขู่และใช้ความรุนแรงจะล้มเหลวเสมอ ผู้ที่ถูกความเข้มแข็งปราบปรามก็อดไม่ได้ที่จะก่อกบฏ การจะเอาชนะพวกเขาได้อย่างแท้จริง คุณต้องควบคุมหัวใจและจิตใจของพวกเขา จงฟังเงาในหัวใจของพวกเขา
โทรเน่: เธอกำลังพูดเรื่องอะไรกันแน่?
มิ้นท์: ผู้คนต่างก็สิ้นหวังกับการที่ต้องหาสถานที่เป็นของตัวเอง มอบมันให้กับพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่อาจทนอยู่ที่อื่นได้ และในที่สุดหัวใจและจิตใจของพวกเขาก็เป็นของคุณ
แอ็กเนีย: หัวใจและจิตใจของพวกเขา..?
มิ้นท์: มนุษย์นั้นโง่เขลาโดยธรรมชาติของตนเอง หลายศตวรรษผ่านไป แต่ก็ยังคงเหมือนเดิม
โทรเน่: ช่างเป็นคำพูดที่กล้าหาญสำหรับคนอายุน้อยเช่นนี้
มิ้นท์: ฮี่ฮี่ฮี่ ฮาฮาฮาฮา “อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน เพราะแสงสว่างจะจางหายไป และรัตติกาลกำลังมาเยือน”
เทเมนอส: คำสอนของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ ไม่นะ…เป็นไปไม่ได้..
มิ้นท์: เนื่องจากคุณมีความพากเพียรในการค้นหาความจริง ให้ฉันช่วยคุณเถอะ ชื่อที่แท้จริงของฉันคือ อาร์คาเน็ตต์ และฉันก็คือผู้นำของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ คนที่สั่งให้สังหารคาล ทั้งหมดเพื่อที่ฉันจะได้ขโมยเปลวไฟได้

เทเมนอส: นั่นมันเป็นไปไม่ได้ การสังหารหมู่คาลเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน และต้นกำเนิดของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ยังคงเก่าแก่กว่านั้น
โทรเน่: … มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มีวิญญาณเก่าแก่มากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์
อาร์คาเน็ตต์: ด้วยความพยายามของเคลดีน่า หนังสือแห่งรัตติกาลเล่มนี้จึงอยู่ในการครอบครองของฉันแล้ว นังเด็กผู้หญิงนั่นกระตือรือร้นที่จะเป็นหุ่นเชิดมาก ไม่รู้ว่าศัตรูคู่แค้นของเธอเป็นผู้กุมเชือกเส้นนั้นไว้ 
เทเมนอส: …พระสังฆราชรู้สินะว่าเธอคือใคร เขากำลังจะบอกเรื่องนั้นให้ฉันได้รู้ แต่ชีวิตของเขากลับถูกตัดให้สั้นลง
อาร์คาเน็ตต์: ฉันหวังว่าคุณจะเสียใจมากกว่านี้ มันช่างน่าเบื่อ นิสัยคุณก็เป็นแบบนี้มาตลอด ใบหน้าของคุณก็เหมือนหน้ากากที่หน้าตายอยู่เสมอ แต่ฉันคิดว่ามันไม่สำคัญแล้ว จุดจบของโลกย่อมมาในค่ำคืนนี้
จากนั้นอาร์คาเน็ตต์ก็ดึงคทาของเธอออกมาและตั้งท่าเตรียมต่อสู้
โทรเน่: คทานั่น..
อาร์คาเน็ตต์: ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว รัตติกาลได้ถูกเชิญมาสู่โลก แต่มีคนน่ารังเกียจเพียงไม่กี่คนขับไล่มันไป เหตุการณ์เหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก
เทเมนอส: …เธอขโมยอนาคตของผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วน
อาร์คาเน็ตต์: อย่างงั้นหรอ ถ้างั้นก็ควรขอบคุณฉันนะ โลกนี้ช่างโหดร้าย..ชั่วร้าย ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความสุขที่จะพบได้ท่ามกลางความทุกข์ คุณไม่เห็นหรือ?
เทเมนอส: …
อาร์คาเน็ตต์: รอย…พระสังฆราช ยอร์ก…ใช่แล้ว แม้กระทั่งคริก พวกเขารู้ พวกเขารู้ถึงความงดงามของรุ่งอรุณที่ไม่มีวันมาถึง
เทเมนอส: เงียบซะ ฉันจะไม่อนุญาตให้เธอทำให้ชื่อของพวกเขาเสียหายด้วยการดูหมิ่นเช่นนี้ เธอจะต้องรับผิดชอบต่อบาปของตัวเอง อาร์คาเน็ตต์ และฉันจะทำให้แน่ใจว่าโลกที่พวกเขาหวังไว้จะกลายเป็นจริง
อาร์คาเน็ตต์: หึหึ ฮี่ฮี่ฮี่ ฮาฮาฮา ในที่สุดหน้ากากของเทเมนอสก็หลุดออก
การต่อสู้ระหว่างอาร์คาเน็ตต์และพวกเราก็ได้เริ่มขึ้น

เมื่อปราบเธอได้
อาร์คาเน็ตต์: อั่ก..และแล้วเราก็มาถึงช่วงเวลานี้ คุณอยากเห็นรุ่งอรุณมากขนาดนั้นเลยหรอ? ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าพระสังฆราชไม่ใช่ภัยคุกคามที่แท้จริง…แต่เป็นคุณต่างหาก..เทเมนอส
เทเมนอส: …
อาร์คาเน็ตต์: คุณ.. กริชที่แหลมจนคมกริบ ผลงานชิ้นเอกของคล็อด
โทรเน่: …
อาร์คาเน็ตต์: ฮี่ฮี่ฮี่…ฉันเห็นแล้ว…ปลอกคอของเธอ
โทรเน่: ปลอกคอ..?
อาร์คาเน็ตต์: เธอ…จะไม่มีวันเป็นอิสระ..ฮี่ฮี่..ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่..ถึงแม้ฉันจะล้มลงที่นี่ แต่มันก็ยังไม่จบ และที่นั่น..อยู่ใกล้เสมอ..รัตติกาล..กำลังมาเยือน
สุดท้ายอาร์คาเน็ตต์ก็สิ้นใจลงไปในที่แห่งนี้
เทเมนอส: ลาก่อนมิ้นท์ วันแห่งความวุ่นวายของเธอได้สิ้นสุดลงแล้ว
โทรเน่: “รัตติกาล..กำลังมาเยือน” พอดูไป ตอนนี้มันได้มาถึงแล้ว
เทเมนอส: …ถ้าหากนี่ไม่ใช่ “รัตติกาล” งั้น.. 

ตอนนี้ให้เราวิ่งไปด้านบนเข้าสู่ Flamechurch Pilgrims’ Way และเดินขึ้นเขาเข้าสู่ Flamechurch: Cathedral Entrance จากนั้นเดินไปที่จุดแท่นบูชาเปลวไฟ จะมีแสงสีฟ้าตกอยู่ให้เก็บมา แล้วเราจะได้รับ บันทึกการเดินทางของแทนซี่ (แทนซี่คือหนึ่งในสมาชิกคณะละครเร่ของจิเซลล์) บันทึกนี้มีเนื้อหาค่อนข้างยาวมาก ไม่จำเป็นต้องอ่านก็ได้ แต่ถ้าอ่านก็จะได้รับรู้เรื่องราวที่มาที่ไปขึ้นอีกนิดหนึ่ง

คุณเขียนสิ่งนี้หรือ? ออดเนอร์ถาม ฉันรีบดึงหนังสือออกจากมือของเขา และเขาถอยหลังออกไปเล็กน้อย ประหลาดใจกับแรงของฉัน ฉันไม่อยากเชื่อเลย เขาคือคนที่ฉันไม่คิดว่าจะได้พบกับบทละครที่ซ่อนเอาไว้…

ออดเนอร์ เริ่มเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุยังน้อยและเขาทำได้ดีพอสมควร ฉันเองก็ใฝ่ฝันที่จะขึ้นเวทีมาตั้งแต่เด็ก แต่สุดท้ายกลับต้องทำงานที่ร้านเทียนของพ่อแม่แทน ถึงกระนั้น ฉันก็ไม่สามารถละทิ้งงานเขียนได้ และมันกลายเป็นงานอดิเรกแบบลับๆ ของฉันไป

ฉันไม่เคยแสดงบทละครของฉันให้ใครเห็น เพราะกลัวว่าความคิดเห็นของพวกเขาจะเป็นการยืนยันว่าฉันไม่มีพรสวรรค์ ฉันหลับตาแน่นด้วยความอาย เตรียมตัวรับคำเยาะเย้ยเกี่ยวกับบทละครที่ดูโง่เง่าของฉัน แต่…

“คุณจะไม่รังเกียจถ้าฉันขอแสดงบทละครนี้ใช่ไหม?” เขาถาม ฉันปล่อยเสียงถอนหายใจแปลกๆ ออกมา ตกใจอย่างสิ้นเชิง “มันออกจะน่าเสียดายถ้าไม่แสดง ทำไมเราไม่โชว์มันในเทศกาลครั้งหน้า?” แม้ว่าจะตกใจจากข้อเสนอ แต่ฉันก็รู้สึกดีใจที่มีคนชื่นชมการเขียนของฉัน

ฉันพยักหน้าเห็นด้วยและตัดสินใจทำให้มันเป็นการแสดงที่น่าจดจำ แม้ว่าจะเป็นความคิดของออดเนอร์ แต่ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าที่เขาเป็น ฉันเริ่มแต่งเพลงประกอบสำหรับการแสดงด้วย

“ฉันรักคุณ, แมรี่.” คำพูดเหล่านั้นทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงและมือของฉันบนฮาร์ปหยุดลง “เกิดอะไรขึ้น?” ออดเนอร์ ถามขณะที่เขามองหน้าฉันด้วยความกังวล ฉันรู้ว่าเขาดูไม่เหมือนเด็กที่เคยรังแกฉันด้วยแมลงในวัยเด็กอีกต่อไป

แต่ฉันรู้ว่าคำพูดที่เขาพูดไม่ใช่คำพูดของเขา ฉันเป็นคนเขียนมันเอง, หลังจากนั้น

ครึ่งเดือนก่อนเทศกาล การแสดงของเขาแทบจะสมบูรณ์แบบ ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เขาหาเวลาไปฝึกซ้อมหลังจากทำงานปกติได้อย่างไร ส่วนฉันเองกลับต้องดิ้นรนคิดหาจุดจบที่เหมาะสมสำหรับบทละคร และทำงานจนดึกดื่น เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความยากลำบากของฉันได้, ออดเนอร์ จึงดึงฉันออกจากโต๊ะทำงานและพาฉันไปยังเมืองในยามค่ำคืน

‘เทพเจ้าทั้งหมดเป็นของเราตอนนี้’ เขาบอกฉันขณะที่เราลอบเข้าไปในโบสถ์ที่ว่างเปล่า ไม่นานหลังจากนั้น, ฉันก็ถูกแรงบันดาลใจโจมตี, อาจจะเป็นเพราะพระพรของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ ออดเนอร์ เฝ้าดูอย่างเงียบๆ ขณะที่คำแต่ละคำไหลออกมาจากปลายปากกาของฉัน

เมื่อฉันเขียนเสร็จ, รุ่งอรุณก็เริ่มสาง ขณะที่ออดเนอร์ อ่านบทละครของฉัน, ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมกว่าที่เคย, และหัวใจของฉันเต้นแรงในอก, แม้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น…

เมื่อเขาอ่านเสร็จ เขายิ้มอย่างนุ่มนวล ‘คุณจะแต่งงานกับผมไหม?’ เขาถาม, และฉันปล่อยเสียงถอนหายใจแปลกๆ ออกมา ฉันเขียนประโยคนี้ไว้หรือ? ไม่… ครั้งนี้, คำพูดเหล่านั้นเป็นของออดเนอร์เอง คำขอแต่งงานของเขามักจะทำให้ฉันมีความสุขอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หัวใจของฉันอบอุ่นเมื่อเห็นรอยยิ้มของเขาและคิดถึงการแสดงบทละครที่เราร่วมกันเขียน ฉันหวังว่าความสุขนี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต…

แต่แล้ว, ฉันกลับเห็นนักบวชนำโลงศพของเขาไป และเสียงสะอื้นเต็มอากาศรอบตัวฉัน ฉันวางเขาลงด้วยบทละครและดอกไม้สีเหลืองที่เขารัก ไม่, ฉันคิดกับตัวเอง, นี่ไม่ใช่ตอนจบที่ฉันจินตนาการไว้

หลังจากวันที่ฉันเขียนบทละครเสร็จ ฉันตื่นขึ้นมาและพบว่าความรักของฉันตัวเย็นเฉียบนอนอยู่ข้างๆ ตามคำบอกของนักปรุงยา, หัวใจของออดเนอร์ล้มเหลว ฉันสงสัยว่างานเป็นสาเหตุหรือไม่

ทำไมฉันถึงไม่สังเกต!? ฉันฆ่าเขา ฉันผลักดันเขามากเกินไป ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉัน, ความผิดทั้งหมดของฉัน…!

ฉันไม่สามารถทนต่อความรู้สึกผิดได้, ฉันจึงผลักการตายของเขาออกจากความคิดและดำเนินชีวิตตามปกติ แต่ทุกครั้งที่ฉันนึกถึงคนรักของฉัน, ฉันทุบกรามแน่นจนคิดว่าฟันจะหัก

วันหนึ่ง, ฉันพบว่าตัวเองอยู่หน้าศาสนสถาน—สถานที่เดียวกันที่ออดเนอร์ และฉันสาบานรักต่อกัน—และมีนักบวชคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยกับฉัน ‘ความเศร้าโศกคือสิ่งที่สะสมอยู่ในตัวเรา การเก็บมันไว้ทั้งหมดจะทำให้คุณถูกทำลาย’ เธอบอกฉัน ‘โปรด, ปล่อยมันออกมา คุณไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อีกต่อไป’

ด้วยความอบอุ่นของเธอ, ฉันจึงพูดถึงทุกสิ่งที่ฉันฝังลึกอยู่ในใจ เธอฟังทุกคำพูดและในตอนท้าย, เธอก็โอบกอดฉันอย่างอ่อนโยน ความรู้สึกผิดและความเศร้าของฉันถูกชำระล้างไปด้วยความกรุณาของเธอ

จากนั้นวันหนึ่ง, ความรู้สึกของฉันต่อออดเนอร์ก็หายไป, และสิ่งที่เหลืออยู่คือเธอ

วันหนึ่ง, ฉันเห็นเธอกับผู้หญิงคนอื่นและกลัวว่าเธอจะทิ้งฉันไป… รู้ว่าฉันต้องทำให้แน่ใจว่าฉันมีที่ในโลกของเธอ, ฉันบอกเธอว่าฉันจะทำทุกอย่างที่เธอต้องการ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า, ‘ฉันต้องการให้คุณค้นหาเปลวไฟสีฟ้า, ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกนี้’

ฉันละทิ้งการเดินทางของฉันไปทันที พ่อแม่ของฉันร้องไห้และพยายามจะหยุดฉัน, แต่ฉันผลักพวกเขาออกไป น่าเสียดายที่ฉันจำพื้นที่รอบนอกบ้านของตัวเองแทบไม่ได้เลย, ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั้งโลก…

ไม่นานหลังจากนั้น, ฉันได้พบกับคณะละครเร่ พวกเขาบอกว่ากำลังนำรอยยิ้มไปยังทุกมุมของแผ่นดิน, ดังนั้นฉันจึงเข้าร่วมกับพวกเขา และการค้นหาก็เริ่มต้นขึ้น

นั่นคือวิธีที่ฉันพบมัน เปลวไฟสีฟ้าที่เธอต้องการ มันอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งที่ขอบโลก ฉันสามารถจินตนาการได้ว่าเธอจะดีใจเพียงใด ฉันมั่นใจว่าเธอจะให้ฉันอยู่เคียงข้างเธอ โอ้, ฉันชื่นชอบ ซิสเตอร์มิ้นท์…

‘ฉันรักคุณ, แทนซี่’ เธอกล่าว เสียงและคำพูดอุ่นๆ ของเธอสั่นสะเทือนในหัวของฉัน จากนั้นเธอก็ส่งหนังสือโบราณเล่มหนึ่งชื่อ หนังสือแห่งรัตติกาล ให้ฉันและแนะนำให้ฉันอ่านมัน, ดังนั้นฉันจึงอ่านมันทันที

มันเป็นเรื่องราวของผู้คนที่ไม่ปรารถนาเห็นรุ่งอรุณ ฉันไม่เคยอ่านเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน เมื่อเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ, เธอยิ้มให้ฉัน

ฉันทบทวนว่าความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการอ่านหนังสือดีๆ และเห็นรอยยิ้มของ ซิสเตอร์มิ้นท์ ในใจของฉัน, ไม่มีรุ่งอรุณไหนที่จะสดใสไปกว่านี้อีกแล้ว

ใช่… ฉันไม่ต้องการรุ่งอรุณ ทุกอย่างสามารถจบลงที่นี่และตอนนี้…

จากนั้นให้เราไปยืนที่หน้าแท่นบูชาเปลวไฟ โดยให้มีโทรเน่และเทเมนอสอยู่ในปาร์ตี้ แล้วเราก็ได้เห็นความทรงจำบางอย่าง

มิ้นท์: ตื่นได้แล้วแทนซี่ รัตติกาลมาเยือนแล้ว
แทนซี่: ซิสเตอร์มิ้นท์ โอ้ นี่ฉันหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลย
มิ้นท์: ฮี่ฮี่ ไม่ต้องกังวล เธอน่าจะเพลียมาก เธอเดินทางมาไกลเพื่อมาเห็นความปรารถนาของฉันเป็นจริง
แทนซี่: ซิสเตอร์มิ้นท์ ฉันหมายถึง พระเจ้า ฉันจะทำทุกอย่างถ้ามันทำให้ฉันใกล้ชิดเธอมากขึ้น
มิ้นท์: ฮี่ฮี่ การอุทิศตนของเธอจะทำให้ก้าวหน้า เธอทำได้มากกว่าที่ฉันคาดหวังไว้ และมันต้องมีรางวัล
แทนซี่: รางวัล?
มิ้นท์: ฉันรักเธอแทนซี่
จากนั้นความมืดก็เริ่มเข้าครอบงำแทนซี่
แทนซี่: ห๊ะ? มันมืดมาก ฉันอยู่ที่ไหน !? อะไรน่ะ? ร่างกายของฉัน..? อ่าา อ๊ากกก
เมื่อการสังเวยจบลงร่างกายของแทนซี่ก็สลายหายไป เปลวไฟก็ดับลงเช่นกัน
มิ้นท์: เด็กน่าสงสาร ไม่รู้ตัวจนถึงวินาทีสุดท้าย แต่นี่คือสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าเธออยากเห็นรุ่งอรุณ ฮี่ฮี่..ฮาฮาฮา…เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกดับแล้ว “อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน เพราะแสงสว่างจะจางหายไป” และในไม่ช้าโลกก็จะได้รู้ถึงความสุขของรุ่งอรุณที่ไม่มีวันมาถึง ทุกคนที่ขวางทางจะถูกเหวี่ยงทิ้งไป ฉันจะขุดรากเจ้าพวกนักเดินทางและฝังกระจกอันน่าสมเพชนั่นไว้ใต้พื้นดิน แล้วจะไม่มีวันก่อไฟขึ้นได้อีก

กลับมาที่ปัจจุบันตอนนี้เปลวไฟสีฟ้าได้ถูกจุดติดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

Extra Stories: Flamechurch End

ตอนนี้เปลวไฟสีฟ้าได้ถูกจุดครบทุกแห่งเป็นที่เรียบร้อย จะมีแสงส่องสว่างนำทางให้แก่เรา ตอนนี้ให้เรากดดูที่แผนที่จะพบว่าแสงนั้นนำพาไปสู่กลางมหาสมุทร ซึ่งนั่นก็คือเป้าหมายต่อไปที่เราต้องไปเยือน และเป็นสถานที่สุดท้ายของการเดินทางกันแล้ว เมื่อเตรียมตัวทุกอย่างพร้อมแล้วก็เข้าสู่เนื้อเรื่องบทสุดท้ายกันเถอะ

Extra Stories: Vidania

Share:

Facebook
X
Flex-Ad-Side-Bar.png
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.