“ตามหาซากปรักอาทิตย์ตกแล้วคุณจะพบกับความจริง”
ลูเซียนได้เขียนคำเหล่านี้ทิ้งเอาไว้ในสมุดโน๊ต
เขากำลังศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มผู้ดูแลเปลวไฟ
ส่วนวาดอสเป็นทายาทของกลุ่มผู้ดูแลเปลวไฟแต่กลับฆ่าเขา
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอดีตของวาโดสคืออะไรกันแน่?
หากจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา จะต้องสืบสวนเรื่องของกลุ่มผู้ดูแลเปลวไฟ
และด้วยเหตุผลเหล่านี้เทเมนอสก็เลยมาที่เมือง Crackridge
เทเมนอสที่มาถึงเมือง Crackridge ก็ได้ทักทายชายชราคนหนึ่งที่หน้าหมู่บ้านเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับซากปรักอาทิตย์ตก ชายชราคนนั้นบอกว่าไม่รู้ที่นี่มันไม่มีสถานที่แบบนั้นหรอก เทเมนอสก็เลยเดินเข้าไปในเมืองแทนเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลต่อ แต่ชายชรากลับต่อว่าว่าในเมืองนี้ก็ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับสถานที่นั้นหรอก นายน่ะออกไปจากที่นี่ซะ เทเมนอสก็คิดในใจว่าตอนที่เขาเอ่ยถึงซากปรักอาทิตย์ตก ใบหน้าของชายชราคนนั้นกลับกระตุกเล็กน้อย เมื่อเดินเข้าไปเจอกับชาวเมืองคนอื่น พวกเขาก็มองหน้าเทเมนอสแต่กลับทำเป็นไม่สนใจ เทเมนอสก็สงสัยเลยเข้าไปถามชาวเมืองคนหนึ่งว่า ที่หน้าของเขามีอะไรผิดปกติงั้นหรอ แล้วคุณรู้จักซากปรักอาทิตย์ตกบ้างมั้ย ชาวเมืองก็บอกว่าไม่รู้จักหรอกว่าแต่เขาเป็นใครกันแน่ เทเมนอสก็แนะนำตัวแบบเต็มยศว่าเขาคือนักบวชแห่งคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์จากฝั่งทวีปตะวันออก ตอนนั้นเองเทเมนอสก็สังเกตุเห็นว่าชาวเมืองได้สวมสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยว จากนั้นชาวเมืองก็ตะโกนอย่างไม่พอใจว่า พวกเราไม่ต้องการพวกเปลวไฟที่นี่หรอกไปตามทางของคุณซะเถอะ เทเมนอสก็รู้สึกว่าผู้คนที่นี่ทำตัวเย็นชากับเขาซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพียงแต่ไม่มีใครสักคนต้องการพูดถึงเรื่องของซากปรักนั้นเลย แถมไม่รู้ทำไมถึงต่อต้านคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ “นี่ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ดูท่าจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ซะแล้ว” จากนั้นให้เราเข้าไปโรงแรมแล้วกดพักนอนค้างคืน

ในค่ำคืนนั้นเองชาวเมืองและชายชราก็ได้มายืนอยู่หน้าโรงแรมและคุยกับว่าตอนนี้มีผู้นับถือเปลวไฟอีกประเภทหนึ่งอยู่ในหมู่บ้าน เหมือนที่คำทำนายได้กล่าวไว้ ชายชราก็ได้บอกว่า เปลวไฟจะนำมาซึ่งการทำลายล้าง พวกเราต้องไม่ให้เขาไปที่ซากปรักได้ หากเขาไม่ยอมออกไปจากหมู่บ้านเราจะต้องทำตามที่นายท่านของเราสั่งไว้ ชาวเมืองอีกคนก็บอกว่า “อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน เพราะแสงสว่างจะจางหายไป”

5 ปีก่อนหน้านี้ 
ในบ้านหลังหนึ่งขณะที่เทเมนอสนอนหลับอยู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกของรอย เทเมนอสก็เลยตื่นขึ้นมาเปิดประตูให้กับรอยแล้วถามว่า ทำไมเขาถึงมาที่นี่ในตอนดึกแบบนี้
รอย: เทเมนอส ตอนนี้ฉันไม่สามารถเชื่อใจคริสตจักรได้อีกต่อไป นอกจากพระสังฆราชแล้วนายคือคนเดียวที่ฉันเชื่อใจ ในฐานะที่เป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระสังฆราชเองแล้ว ฉันอยากสารภาพกับนาย
จากนั้นรอยก็หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาให้เทเมนอสดู
เทเมนอส: นี่มันอะไรน่ะ ธนูหรอ
รอย: ธนูโลหิตทมิฬ ฉันกับพระสังฆราชได้พบมันตอนที่กำลังตรวจสอบพวกคริสตจักร ธนูนี่ไม่ควรปล่อยเอาไว้ ฉันพยายามที่จะทำลายมันแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้เลย ฉันสาบานว่าฉันได้ลองพยายามดูแล้ว
เทเมนอส: ตั้งสติหน่อยสิรอย
รอย: ฉันต้องรีบหนีและซ่อนมันไว้ หากฉันไม่กลับมา ฉันอยากขอให้นายทำงานของฉันต่อไป และเชื่อในตัวพระสังฆราช เทเมนอสคริสตจักรน่ะมีความลับ ความลับที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
เมื่อพูดจบรอยก็วิ่งออกไปทันที เทเมนอสก็พยายามตะโกนเรียก แต่รอยก็ไม่หันกลับมา

กลับมาที่ปัจจุบันเช้าวันต่อมา
เทเมนอสก็รู้ตัวว่าฝันแบบเดิมอีกแล้วและรอยก็ไม่เคยกลับมา ความลับที่เขาเคยบอกไว้ พระสังฆราชก็ไม่เคยกล่าวถึงมันเลย เพราะเขาหวังว่าจะปกป้องฉันจากอันตรายของเรื่องนี้ ส่วนตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องสืบสวนต่อ เมื่อเทเมนอสออกมาจากโรงแรมชาวเมืองกลุ่มหนึ่งที่เห็นเทเมนอสก็ได้รีบเดินหนีไป แต่กลับมีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาสอบถามว่าเทเมนอสเป็นคนที่มาจากคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ย เพราะเธอเคยเห็นชุดคลุมแบบนั้นมาก่อน พร้อมกับแนะนำตัวเองว่าเธอชื่อ เรซ่า เป็นนักเดินทางเหมือนกัน ตอนนี้เธออยากเดินทางออกไปข้างนอกเขตเมืองนี้ แต่มันก็ชุกชุมไปด้วยโจร เธอเลยอยากให้เทเมนอสร่วมเดินทางเพื่อเป็นคนคุ้มกันให้กับเธอได้มั้ย เพราะเธอจะรู้สึกปลอดภัยมากถ้ามีนักบวชคอยอยู่ข้างๆ แต่ระหว่างนั้นเองเทเมนอสก็สังเกตุเห็นว่าเรซ่าก็สวมสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยวด้วยเช่นกัน แต่ก็บอกเรซ่าไปว่า เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์จะส่องทางให้ทุกคน ฉันยินดีที่จะเป็นผู้นำทางของคุณ ตอนนี้ก็ให้เรากดใช้ Guide กับเรซ่า แล้วออกจากเมืองไปทางด้านขวาจะเข้าสู่ Abandoned Road วิ่งไปตามทางจนพบบ้านร้าง

เรซ่า: เรามาได้ไกลขนาดนี้แล้ว ส่วนที่เหลือฉันน่าจะเดินทางคนเดียวได้ ขอบคุณมากนะท่านนักบวช คุณเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากเลย
เทเมนอส: ฉันไม่สมควรได้รับเยินยอเช่นนี้เลย
เรซ่า: ฮี่ฮี่ฮี่ นายนี่มัน..น่ารักจริงๆ ดูนายตอนนี้สิ ว่าแต่จะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะขอดูคทาที่ทรงพลังนั่นซะหน่อย
เทเมนอส: …..
เรซ่า: อ่าา เอาน่า นายน่าจะลองให้ฉันดูนะ ถ้านายไม่เก็บไม้เท้าของนายเอาไว้ในฝักบ้าง บางทีมันก็..ฮี่ฮี่ฮี่
เทเมนอส: นั่นดูจะไม่จำเป็นนะ อีกอย่างไม้เท้าน่ะไม่จำเป็นต้องมีฝักหรอก และเธอเรซ่า เธอโกหกได้แย่มาก เธอน่ะไม่ใช่นักเดินทางหรอก เธอมาจากหมู่บ้านนั่น
เรซ่า: อะไรนะ…?
เทเมนอส: ฉันเห็นสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยว อันเดียวกันกับที่คนเกือบทั้งหมู่บ้านใส่อยู่ เอาล่ะเธอแต่งเรื่องพวกนี้มาทำไม ต้องการอะไรกันแน่
เรซ่า: ดูท่าจะรับมือกับนายแบบง่ายๆ ไม่ได้เลยสินะ
จากนั้นเรซ่าก็พุ่งเข้ามาโจมตีเทเมนอส แต่ทางเทเมนอสที่เตรียมตัวอยู่แล้วก็ชักคทาออกมาแล้วโต้กลับไปได้
เทเมนอส: ทำไมเธอต้องพุ่งเป้ามาที่ฉัน
เรซ่า: พวกเราคือภาคีแห่งร่มเงาจันทร์…และฉันก็เพียงทำตามความปรารถนาของนายท่านเท่านั้น
เทเมนอส: ช่างเป็นพระเจ้าที่ดีงามและทรงเกียรติจริงๆ ที่ออกคำสั่งให้โจมตีนักเดินทางที่บริสุทธิ์ ซากปรักอาทิตย์ตก เธอต้องการจะเก็บมันไว้เป็นความลับไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามสินะ
เรซ่า: …
เทเมนอส: กริชในมือของเธอมันสั่นอยู่ เธอไม่ได้ต้องการซ่อนมันจริงๆ ใช่ไหม
เรซ่า: ดูท่านักบวชแบบนายจะมองเห็นทุกสิ่งเลยใช่มั้ย นี่มันคือสัญญาณ ฉันจะพานายไปที่ซากปรัก

จากนั้นเรซ่าก็ออกเดินนำทางเทเมนอสไปที่ซากปรักอาทิตย์ตก
เรซ่า: พวกเรามาถึงแล้ว
เทเมนอส: นี่คือซากปรักอาทิตย์ตกในตำนานสินะ
เรซ่า: ชื่อที่แท้จริงของมันก็คือ ซากปรักของคาล คาลผู้ปกป้องเปลวไฟ ได้สร้างมันขึ้นมา
เทเมนอส: คาลงั้นหรอ
เรซ่า: ฉันได้ทรยศต่อพี่น้องของฉันแต่ฉันไม่เสียใจเลย การได้พบกับนายคงเป็นพระประสงค์ของนายท่าน และตอนนี้ฉันได้รับโอกาสที่จะชดใช้
เทเมนอส: ชดใช้? เพื่อเรื่องอะไร?
เรซ่า: ฉันแน่ใจว่านายจะพบสิ่งที่ต้องการที่นี่ ไปสิ ค้นหามัน
เทเมนอส: ฉันรู้สึกขอบคุณเธอนะ เรซ่า

เมื่อเดินเข้าไปก็ได้พบกับจิตรกรรมฝาผนังที่ค่อนข้างเก่า มันเหมือนกับรอยสักของวาดอส น่าจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเป็นชาวคาล ผู้ดูแลเปลวไฟ แต่พอเทเมนอสเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามันคือเปลวไฟสีฟ้า ทำให้เทเมนอสไม่แน่ใจว่ามันคือเปลวไฟของอะไร จากนั้นก็ให้สำรวจซากปรักกันต่อ จนพบกับโต๊ะตัวหนึ่งเมื่อสำรวจก็จะเจอกับบันทึก ในบันทึกบอกเอาไว้ว่า “พวกเราเชื่อใจวาดอสได้ เขาเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และเป็นคนสุดท้ายของพี่น้องของเรา” จากนั้นเทเมนอสก็อ่านต่อ

ชาวคาลจะไม่มีวันลืม
วันที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพรากไปจากเรา
และความโหดร้ายที่เกิดขึ้น
ผู้นำของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์
จะต้องตายในน้ำมือของฉัน
ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรแค่ไหน
ไม่ว่าจะต้องกลายเป็นอะไรก็ตาม
แม้ฉันจะต้องละเมิดกฎผู้คนของเราก็ตาม
เมื่ออ่านจนจบเทเมนอสก็สงสัยว่า บันทึกนี้น่าจะถูกเขียนโดยหนึ่งในชาวคาล แล้วภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ได้ทำอะไรลงไป เทเมนอสก็เดินสำรวจไปที่บริเวณข้างโต๊ะ ก็พบเข้ากับกองกระดูกของมนุษย์ ลักษณะของมันดูแตกหักจากการถูกตีซ้ำๆ และมีรอยเปื้อนสีเข้มที่คาดว่าน่าจะเป็นเลือด จากนั้นเทเมนอสก็มองสำรวจออกไปไกล ดูเหมือนว่าข้างในจะมีกระดูกเยอะยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อเราสำรวจจนสุดทางเดิน เทเมนอสก็ได้ใช้ห้วงภวังค์แห่งความคิดทำให้เขาเริ่มรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ หลายทศวรรษที่ผ่านมาชาวคาลได้ถูกสังหารหมู่ที่นี่ ด้วยน้ำมือผู้นำของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ ตอนนั้นเทเมนอสก็พบว่ามีสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยวตกอยู่ ซึ่งสร้อยนี้ไม่ใช่ของชาวคาล แต่น่าจะเป็นของนักฆ่าที่ทำตกไว้ แล้วเทเมนอสก็มองสำรวจไปอีก จึงพบเข้ากับจิตรกรรมฝาผนัง ดูเหมือนที่ว่าชาวคาลพยายามปกป้องจิตกรรมนี้เอาไว้ด้วยความสิ้นหวัง ทำให้เทเมนอสสงสัยว่ามันมีความสำคัญอะไรกันแน่ จึงได้เดินเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจ และพบว่ามันมีข้อความเขียนเอาไว้

เมื่อนานมาแล้วบนผืนแผ่นดินนี้ มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน
จอมเวทย์ดาร์เคสต์
ได้เรียกหารัตติกาล
รัตติกาลนำมาซึ่งเหล่าสัตว์ร้าย
เหล่าสัตว์ร้ายได้กลืนกินผู้คน
ในเวลาที่ต้องการ
มีเพียงผู้เดียวที่ลุกขึ้นมาท้าทายจอมเวทย์
คนผู้นั้นคือคาล
ด้วยใจอันบริสุทธิ์ คาลเสกเปลวไฟสีฟ้า
และนำพารุ่งอรุณใหม่มาสู่แผ่นดิน
พลังแห่งรัตติกาล
ได้ถึงเวลาแห่งการหลับไหลในหมู่บ้านไร้นาม
มันรอคอยพิธีกรรมอันมืดมิด
ที่จะตื่นขึ้นอีกครั้ง
ห้ามผู้ใดไปเยือนที่นั่น
รัตติกาลต้องไม่ถูกปล่อยอีกครั้ง
เปลวไฟสีฟ้าต้องได้รับการปกป้อง
เราเดินตามรอยเท้าฮีโร่ของพวกเรา
พวกเราคือผู้ปกป้องเปลวไฟ ชาวคาล
พวกเขากลายเป็นผู้พิทักษ์เปลวเพลิงสีฟ้าที่ปกปักอยู่ที่นี่ 
ปกป้องมันไว้อย่างปลอดภัยจากรัตติกาล ส่วนกฏที่เขียนถึง มันน่าจะหมายถึงกฏที่ห้ามทำพิธีกรรมที่ทำให้เกิดรัตติกาลมาเยือน แต่พิธีกรรมที่ว่านี้คืออะไร? เทเมนอสก็หวังว่าจะมีข้อมูลมากกว่านี้จากในบันทึกจึงได้เปิดอ่านเพิ่ม

ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรแค่ไหน
ไม่ว่าจะต้องกลายเป็นอะไรก็ตาม
แม้ฉันจะต้องละเมิดกฎผู้คนของเราก็ตาม
เพื่อสิ่งนั้นฉันต้องการ หนังสือแห่งรัตติกาล
หนังสือแห่งรัตติกาล
ฉันได้ค้นหามันมานาน
คิดว่าคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ถือครองมันมาตลอดเวลา
และในตอนท้ายของบันทึกได้เขียนไว้ว่า
อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน
เพราะแสงสว่างจะจางหายไป
ส่วนต่อจากนี้ของบันทึกได้ถูกฉีกออกไป
ทำให้บันทึกมันไม่สมบูรณ์
ฉันจะต้องหาส่วนที่หายไป
ในที่สุดฉันก็รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว
มีสี่หน้าที่หายไป
กลุ่มนักเทววิทยาเล็กๆ ได้เก็บซ่อนพวกมันไว้
ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเราวาดอส ได้จัดการกับพวกมัน
และหน้าต่างๆ ก็ถูกกู้คืนมา
ตอนนี้ฉันรอเวลาที่เหมาะสมที่จะทำพิธี
ความทรงจำของฉันตอนนี้ได้พักอยู่ในสถานที่แห่งนี้
เคียงข้างผู้คนของฉัน
มาถึงตรงนี้เทเมนอสก็รู้แล้วว่าสาเหตุการตายของพระสังฆราชเริ่มมาจากอะไร มันเริ่มมาจากการเก็บกู้หน้าหนังสือที่หายไป แต่หากเป็นเช่นนี้จริง ใครเป็นคนเขียนบันทึกเล่มนี้เอาไว้ล่ะ พวกเขาได้ใช้ให้วาดอสทำหน้าฆ่าคนและเก็บกู้ส่วนที่หายไป ตอนนี้เทเมนอสก็รู้สึกว่าเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

สุดท้ายจึงได้เดินออกจากซากปรักและพบกับเรซ่าที่ยืนรอคอยอยู่ที่ทางเข้า
เทเมนอส: บาปของพวกคุณนี่มันช่างลึกเสียจริง
เรซ่า: เมื่อนานมาแล้วเกิดไฟไหม้ในหมู่บ้านของฉัน มีคนจำนวนมากเสียชีวิตจากไฟไหม้ นายท่านของเราได้บอกว่า มันเกิดขึ้นเพราะพวกกลุ่มคนที่บูชาเปลวไฟ ไฟนำพาให้เกิดความหายนะ นั่นแหละคือสิ่งที่ภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ได้สอนเอาไว้ และพวกเราก็เชื่อมัน ทุกคนเชื่อมันโดยไม่สงสัย
เทเมนอส: เพราะแบบนั้นพวกคนจากหมู่บ้านของเธอ ก็เลยได้มาก่อเหตุสังหารหมู่ชาวคาลใช่มั้ย?
เรซ่า: พวกเรา พวกเรารู้แล้วว่าได้ทำผิดไป แต่พวกเราก็ยังคงปิดปากและเก็บความลับเอาไว้ ฉันขอโทษ ได้โปรดเมตตาด้วย
เทเมนอส: ใครคือนายท่านของพวกเธอ? แล้วผู้นำแบบไหนถึงจะสั่งให้ภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ก่อเหตุสังหารหมู่
เรซ่า: … อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน เพราะแสงสว่างจะจางหายไป และรัตติกาลกำลังมาเยือน
เทเมนอส: เธอพูดว่าอะไรนะ
เรซ่า: มันคือสิ่งที่พวกเราถูกสอนมา
เทเมนอส: รัตติกาลกำลังมาเยือน มันคือสิ่งที่ถูกสอนกันมาในภาคีแห่งร่มเงาจันทร์งั้นหรอ
เรซ่า: ใช่ แต่ฉันคิดผิดที่เชื่อมัน ได้โปรดประทานการพิพากษาอันศักดิ์สิทธิ์แก่ฉันด้วย
เทเมนอส: เธอต้องชดใช้สิ่งที่เธอได้ทำลงไปด้วยตัวเอง การตัดสินของฉันจะไม่ทำให้เธอพ้นผิด

หลังจากนั้นเทเมนอสก็ได้เดินออกมาถึงที่หน้าหมู่บ้านและกำลังคิด
และรัตติกาลกำลังมาเยือน คำอำลาของพระสังฆราชไม่ได้มาจากชาวคาล แต่มาจากภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้หนึ่งในบทของหน้ากระดาษที่หายไปจากหนังสือแห่งรัตติกาล ประวัติศาสตร์ของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์มีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับช่วงเวลานั้น บางทีพระสังฆราชต้องการบอกให้ทราบถึงความเชื่อมโยงนี้ มีเงาลึกลับได้แฝงตัวอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมต่อเนื่อง ฉันต้องหาตัวคนที่เขียนบันทึกให้เจอ และเชื่อว่าสถาปนิกวาดอสน่าจะให้คำตอบนี้ได้ การค้นหาคำตอบเหล่านี้อาจต้องใช้การสอบปากคำอย่างไม่ต้องสงสัย Stormhail ฉันจะต้องเดินทางไปที่นั่น ฉันต้องเปิดเผยความจริงให้ได้
เทเมนอสคิดถูกที่ได้เดินทางไปตรวจสอบซากปรักอาทิตย์ตก
ที่นั่นเขาพบประวัติศาสตร์ของผู้คนที่ถูกสังหาร
เรื่องราวมืดมนที่ถูกส่งต่อผ่านภาพจิตรกรรมโบราณ
แผนการของอัจฉริยะที่ชั่วร้ายตอนนี้ชัดเจนขึ้นมาแล้ว
แต่พิธีกรรมอะไรที่เรียกคืนรัตติกาล?
ตอนนี้มันเป็นเหมือนเส้นด้ายที่หลวมจนเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถดึงออกมาได้
Temenos – Chapter 3: Crackridge Route End

เป้าหมายต่อไปของเราจะอยู่ที่เกาะกลางทะเลเนื้อเรื่องในบทสุดท้ายของพาร์เททิโอ ให้เราเริ่มจากวาร์ปไปที่เมือง Beasting Bay: Anchor เมื่อวาร์ปมาแล้วให้เราวิ่งขึ้นบันไดไปที่เรือที่อยู่ด้านหลังเราเลย จากนั้นเดินเรือมาทางซ้ายนิดเดียวก็จะพบเข้ากับ Roque Island: Anchorage แล้ว ก็ให้เราขึ้นไปบนเกาะได้เลย ที่เกาะแห่งนี้จะมีมอนสเตอร์เลเวลประมาณ 45 ถ้าใครยังสู้ไม่ค่อยไหวแนะนำให้เก็บเลเวลเพิ่มอยู่ภายในเกาะนี้ก่อนก็ได้เช่นกัน เมื่อคิดว่าพร้อมแล้วให้สำรวจเกาะและเดินทางไปที่ด้านบนจนเข้าสู่ตัวเมืองในแผนที่ Roque Island เราก็สามารถเริ่มเนื้อเรื่องบทที่ 4 ของพาร์เททิโอกันได้แล้ว

 
				 
															 
								 
															



 
								