บทสรุป Temenos – Chapter 3: Crackridge Route

“ตามหาซากปรักอาทิตย์ตกแล้วคุณจะพบกับความจริง”
ลูเซียนได้เขียนคำเหล่านี้ทิ้งเอาไว้ในสมุดโน๊ต
เขากำลังศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มผู้ดูแลเปลวไฟ
ส่วนวาดอสเป็นทายาทของกลุ่มผู้ดูแลเปลวไฟแต่กลับฆ่าเขา
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอดีตของวาโดสคืออะไรกันแน่?
หากจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา จะต้องสืบสวนเรื่องของกลุ่มผู้ดูแลเปลวไฟ
และด้วยเหตุผลเหล่านี้เทเมนอสก็เลยมาที่เมือง Crackridge

เทเมนอสที่มาถึงเมือง Crackridge ก็ได้ทักทายชายชราคนหนึ่งที่หน้าหมู่บ้านเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับซากปรักอาทิตย์ตก ชายชราคนนั้นบอกว่าไม่รู้ที่นี่มันไม่มีสถานที่แบบนั้นหรอก เทเมนอสก็เลยเดินเข้าไปในเมืองแทนเพื่อที่จะค้นหาข้อมูลต่อ แต่ชายชรากลับต่อว่าว่าในเมืองนี้ก็ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับสถานที่นั้นหรอก นายน่ะออกไปจากที่นี่ซะ เทเมนอสก็คิดในใจว่าตอนที่เขาเอ่ยถึงซากปรักอาทิตย์ตก ใบหน้าของชายชราคนนั้นกลับกระตุกเล็กน้อย เมื่อเดินเข้าไปเจอกับชาวเมืองคนอื่น พวกเขาก็มองหน้าเทเมนอสแต่กลับทำเป็นไม่สนใจ เทเมนอสก็สงสัยเลยเข้าไปถามชาวเมืองคนหนึ่งว่า ที่หน้าของเขามีอะไรผิดปกติงั้นหรอ แล้วคุณรู้จักซากปรักอาทิตย์ตกบ้างมั้ย ชาวเมืองก็บอกว่าไม่รู้จักหรอกว่าแต่เขาเป็นใครกันแน่ เทเมนอสก็แนะนำตัวแบบเต็มยศว่าเขาคือนักบวชแห่งคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์จากฝั่งทวีปตะวันออก ตอนนั้นเองเทเมนอสก็สังเกตุเห็นว่าชาวเมืองได้สวมสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยว จากนั้นชาวเมืองก็ตะโกนอย่างไม่พอใจว่า พวกเราไม่ต้องการพวกเปลวไฟที่นี่หรอกไปตามทางของคุณซะเถอะ เทเมนอสก็รู้สึกว่าผู้คนที่นี่ทำตัวเย็นชากับเขาซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพียงแต่ไม่มีใครสักคนต้องการพูดถึงเรื่องของซากปรักนั้นเลย แถมไม่รู้ทำไมถึงต่อต้านคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ “นี่ช่างเป็นการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ดูท่าจะต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้ซะแล้ว” จากนั้นให้เราเข้าไปโรงแรมแล้วกดพักนอนค้างคืน

มาค้างคืนที่โรงแรมตรงนี้

ในค่ำคืนนั้นเองชาวเมืองและชายชราก็ได้มายืนอยู่หน้าโรงแรมและคุยกับว่าตอนนี้มีผู้นับถือเปลวไฟอีกประเภทหนึ่งอยู่ในหมู่บ้าน เหมือนที่คำทำนายได้กล่าวไว้ ชายชราก็ได้บอกว่า เปลวไฟจะนำมาซึ่งการทำลายล้าง พวกเราต้องไม่ให้เขาไปที่ซากปรักได้ หากเขาไม่ยอมออกไปจากหมู่บ้านเราจะต้องทำตามที่นายท่านของเราสั่งไว้ ชาวเมืองอีกคนก็บอกว่า “อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน เพราะแสงสว่างจะจางหายไป”

อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน เพราะแสงสว่างจะจางหายไป มันเป็นคำที่สื่อถึงอะไรกันแน่?

5 ปีก่อนหน้านี้ 
ในบ้านหลังหนึ่งขณะที่เทเมนอสนอนหลับอยู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกของรอย เทเมนอสก็เลยตื่นขึ้นมาเปิดประตูให้กับรอยแล้วถามว่า ทำไมเขาถึงมาที่นี่ในตอนดึกแบบนี้
รอย: เทเมนอส ตอนนี้ฉันไม่สามารถเชื่อใจคริสตจักรได้อีกต่อไป นอกจากพระสังฆราชแล้วนายคือคนเดียวที่ฉันเชื่อใจ ในฐานะที่เป็นคนที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยพระสังฆราชเองแล้ว ฉันอยากสารภาพกับนาย
จากนั้นรอยก็หยิบอะไรบางอย่างขึ้นมาให้เทเมนอสดู
เทเมนอส: นี่มันอะไรน่ะ ธนูหรอ
รอย: ธนูโลหิตทมิฬ ฉันกับพระสังฆราชได้พบมันตอนที่กำลังตรวจสอบพวกคริสตจักร ธนูนี่ไม่ควรปล่อยเอาไว้ ฉันพยายามที่จะทำลายมันแล้ว แต่ไม่สามารถทำได้เลย ฉันสาบานว่าฉันได้ลองพยายามดูแล้ว
เทเมนอส: ตั้งสติหน่อยสิรอย
รอย: ฉันต้องรีบหนีและซ่อนมันไว้ หากฉันไม่กลับมา ฉันอยากขอให้นายทำงานของฉันต่อไป และเชื่อในตัวพระสังฆราช เทเมนอสคริสตจักรน่ะมีความลับ ความลับที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
เมื่อพูดจบรอยก็วิ่งออกไปทันที เทเมนอสก็พยายามตะโกนเรียก แต่รอยก็ไม่หันกลับมา

กลับมาที่ปัจจุบันเช้าวันต่อมา
เทเมนอสก็รู้ตัวว่าฝันแบบเดิมอีกแล้วและรอยก็ไม่เคยกลับมา ความลับที่เขาเคยบอกไว้ พระสังฆราชก็ไม่เคยกล่าวถึงมันเลย เพราะเขาหวังว่าจะปกป้องฉันจากอันตรายของเรื่องนี้ ส่วนตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องสืบสวนต่อ เมื่อเทเมนอสออกมาจากโรงแรมชาวเมืองกลุ่มหนึ่งที่เห็นเทเมนอสก็ได้รีบเดินหนีไป แต่กลับมีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาสอบถามว่าเทเมนอสเป็นคนที่มาจากคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ย เพราะเธอเคยเห็นชุดคลุมแบบนั้นมาก่อน พร้อมกับแนะนำตัวเองว่าเธอชื่อ เรซ่า เป็นนักเดินทางเหมือนกัน ตอนนี้เธออยากเดินทางออกไปข้างนอกเขตเมืองนี้ แต่มันก็ชุกชุมไปด้วยโจร เธอเลยอยากให้เทเมนอสร่วมเดินทางเพื่อเป็นคนคุ้มกันให้กับเธอได้มั้ย เพราะเธอจะรู้สึกปลอดภัยมากถ้ามีนักบวชคอยอยู่ข้างๆ แต่ระหว่างนั้นเองเทเมนอสก็สังเกตุเห็นว่าเรซ่าก็สวมสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยวด้วยเช่นกัน แต่ก็บอกเรซ่าไปว่า เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์จะส่องทางให้ทุกคน ฉันยินดีที่จะเป็นผู้นำทางของคุณ ตอนนี้ก็ให้เรากดใช้ Guide กับเรซ่า แล้วออกจากเมืองไปทางด้านขวาจะเข้าสู่ Abandoned Road วิ่งไปตามทางจนพบบ้านร้าง

เรซ่า: เรามาได้ไกลขนาดนี้แล้ว ส่วนที่เหลือฉันน่าจะเดินทางคนเดียวได้ ขอบคุณมากนะท่านนักบวช คุณเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากเลย
เทเมนอส: ฉันไม่สมควรได้รับเยินยอเช่นนี้เลย
เรซ่า: ฮี่ฮี่ฮี่ นายนี่มัน..น่ารักจริงๆ ดูนายตอนนี้สิ ว่าแต่จะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันจะขอดูคทาที่ทรงพลังนั่นซะหน่อย
เทเมนอส: …..
เรซ่า: อ่าา เอาน่า นายน่าจะลองให้ฉันดูนะ ถ้านายไม่เก็บไม้เท้าของนายเอาไว้ในฝักบ้าง บางทีมันก็..ฮี่ฮี่ฮี่
เทเมนอส: นั่นดูจะไม่จำเป็นนะ อีกอย่างไม้เท้าน่ะไม่จำเป็นต้องมีฝักหรอก และเธอเรซ่า เธอโกหกได้แย่มาก เธอน่ะไม่ใช่นักเดินทางหรอก เธอมาจากหมู่บ้านนั่น
เรซ่า: อะไรนะ…?
เทเมนอส: ฉันเห็นสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยว อันเดียวกันกับที่คนเกือบทั้งหมู่บ้านใส่อยู่ เอาล่ะเธอแต่งเรื่องพวกนี้มาทำไม ต้องการอะไรกันแน่
เรซ่า: ดูท่าจะรับมือกับนายแบบง่ายๆ ไม่ได้เลยสินะ
จากนั้นเรซ่าก็พุ่งเข้ามาโจมตีเทเมนอส แต่ทางเทเมนอสที่เตรียมตัวอยู่แล้วก็ชักคทาออกมาแล้วโต้กลับไปได้
เทเมนอส: ทำไมเธอต้องพุ่งเป้ามาที่ฉัน
เรซ่า: พวกเราคือภาคีแห่งร่มเงาจันทร์…และฉันก็เพียงทำตามความปรารถนาของนายท่านเท่านั้น
เทเมนอส: ช่างเป็นพระเจ้าที่ดีงามและทรงเกียรติจริงๆ ที่ออกคำสั่งให้โจมตีนักเดินทางที่บริสุทธิ์ ซากปรักอาทิตย์ตก เธอต้องการจะเก็บมันไว้เป็นความลับไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามสินะ
เรซ่า: …
เทเมนอส: กริชในมือของเธอมันสั่นอยู่ เธอไม่ได้ต้องการซ่อนมันจริงๆ ใช่ไหม
เรซ่า: ดูท่านักบวชแบบนายจะมองเห็นทุกสิ่งเลยใช่มั้ย นี่มันคือสัญญาณ ฉันจะพานายไปที่ซากปรัก

จากนั้นเรซ่าก็ออกเดินนำทางเทเมนอสไปที่ซากปรักอาทิตย์ตก
เรซ่า: พวกเรามาถึงแล้ว
เทเมนอส: นี่คือซากปรักอาทิตย์ตกในตำนานสินะ
เรซ่า: ชื่อที่แท้จริงของมันก็คือ ซากปรักของคาล คาลผู้ปกป้องเปลวไฟ ได้สร้างมันขึ้นมา
เทเมนอส: คาลงั้นหรอ
เรซ่า: ฉันได้ทรยศต่อพี่น้องของฉันแต่ฉันไม่เสียใจเลย การได้พบกับนายคงเป็นพระประสงค์ของนายท่าน และตอนนี้ฉันได้รับโอกาสที่จะชดใช้
เทเมนอส: ชดใช้? เพื่อเรื่องอะไร?
เรซ่า: ฉันแน่ใจว่านายจะพบสิ่งที่ต้องการที่นี่ ไปสิ ค้นหามัน
เทเมนอส: ฉันรู้สึกขอบคุณเธอนะ เรซ่า

เมื่อเดินเข้าไปก็ได้พบกับจิตรกรรมฝาผนังที่ค่อนข้างเก่า มันเหมือนกับรอยสักของวาดอส น่าจะเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเป็นชาวคาล ผู้ดูแลเปลวไฟ แต่พอเทเมนอสเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามันคือเปลวไฟสีฟ้า ทำให้เทเมนอสไม่แน่ใจว่ามันคือเปลวไฟของอะไร จากนั้นก็ให้สำรวจซากปรักกันต่อ จนพบกับโต๊ะตัวหนึ่งเมื่อสำรวจก็จะเจอกับบันทึก ในบันทึกบอกเอาไว้ว่า “พวกเราเชื่อใจวาดอสได้ เขาเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และเป็นคนสุดท้ายของพี่น้องของเรา” จากนั้นเทเมนอสก็อ่านต่อ

ชาวคาลจะไม่มีวันลืม
วันที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพรากไปจากเรา
และความโหดร้ายที่เกิดขึ้น
ผู้นำของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์
จะต้องตายในน้ำมือของฉัน
ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรแค่ไหน
ไม่ว่าจะต้องกลายเป็นอะไรก็ตาม
แม้ฉันจะต้องละเมิดกฎผู้คนของเราก็ตาม
เมื่ออ่านจนจบเทเมนอสก็สงสัยว่า บันทึกนี้น่าจะถูกเขียนโดยหนึ่งในชาวคาล แล้วภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ได้ทำอะไรลงไป เทเมนอสก็เดินสำรวจไปที่บริเวณข้างโต๊ะ ก็พบเข้ากับกองกระดูกของมนุษย์ ลักษณะของมันดูแตกหักจากการถูกตีซ้ำๆ และมีรอยเปื้อนสีเข้มที่คาดว่าน่าจะเป็นเลือด จากนั้นเทเมนอสก็มองสำรวจออกไปไกล ดูเหมือนว่าข้างในจะมีกระดูกเยอะยิ่งขึ้นไปอีก

เมื่อเราสำรวจจนสุดทางเดิน เทเมนอสก็ได้ใช้ห้วงภวังค์แห่งความคิดทำให้เขาเริ่มรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ หลายทศวรรษที่ผ่านมาชาวคาลได้ถูกสังหารหมู่ที่นี่ ด้วยน้ำมือผู้นำของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ ตอนนั้นเทเมนอสก็พบว่ามีสร้อยคอรูปพระจันทร์เสี้ยวตกอยู่ ซึ่งสร้อยนี้ไม่ใช่ของชาวคาล แต่น่าจะเป็นของนักฆ่าที่ทำตกไว้ แล้วเทเมนอสก็มองสำรวจไปอีก จึงพบเข้ากับจิตรกรรมฝาผนัง ดูเหมือนที่ว่าชาวคาลพยายามปกป้องจิตกรรมนี้เอาไว้ด้วยความสิ้นหวัง ทำให้เทเมนอสสงสัยว่ามันมีความสำคัญอะไรกันแน่ จึงได้เดินเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจ และพบว่ามันมีข้อความเขียนเอาไว้

เมื่อนานมาแล้วบนผืนแผ่นดินนี้ มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน
จอมเวทย์ดาร์เคสต์
ได้เรียกหารัตติกาล
รัตติกาลนำมาซึ่งเหล่าสัตว์ร้าย
เหล่าสัตว์ร้ายได้กลืนกินผู้คน
ในเวลาที่ต้องการ
มีเพียงผู้เดียวที่ลุกขึ้นมาท้าทายจอมเวทย์
คนผู้นั้นคือคาล
ด้วยใจอันบริสุทธิ์ คาลเสกเปลวไฟสีฟ้า
และนำพารุ่งอรุณใหม่มาสู่แผ่นดิน
พลังแห่งรัตติกาล
ได้ถึงเวลาแห่งการหลับไหลในหมู่บ้านไร้นาม
มันรอคอยพิธีกรรมอันมืดมิด
ที่จะตื่นขึ้นอีกครั้ง
ห้ามผู้ใดไปเยือนที่นั่น
รัตติกาลต้องไม่ถูกปล่อยอีกครั้ง
เปลวไฟสีฟ้าต้องได้รับการปกป้อง
เราเดินตามรอยเท้าฮีโร่ของพวกเรา
พวกเราคือผู้ปกป้องเปลวไฟ ชาวคาล

พวกเขากลายเป็นผู้พิทักษ์เปลวเพลิงสีฟ้าที่ปกปักอยู่ที่นี่ 
ปกป้องมันไว้อย่างปลอดภัยจากรัตติกาล ส่วนกฏที่เขียนถึง มันน่าจะหมายถึงกฏที่ห้ามทำพิธีกรรมที่ทำให้เกิดรัตติกาลมาเยือน แต่พิธีกรรมที่ว่านี้คืออะไร? เทเมนอสก็หวังว่าจะมีข้อมูลมากกว่านี้จากในบันทึกจึงได้เปิดอ่านเพิ่ม

ไม่ว่าจะต้องเสียอะไรแค่ไหน
ไม่ว่าจะต้องกลายเป็นอะไรก็ตาม
แม้ฉันจะต้องละเมิดกฎผู้คนของเราก็ตาม
เพื่อสิ่งนั้นฉันต้องการ หนังสือแห่งรัตติกาล
หนังสือแห่งรัตติกาล
ฉันได้ค้นหามันมานาน
คิดว่าคณะเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้ถือครองมันมาตลอดเวลา
และในตอนท้ายของบันทึกได้เขียนไว้ว่า
อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน
เพราะแสงสว่างจะจางหายไป
ส่วนต่อจากนี้ของบันทึกได้ถูกฉีกออกไป
ทำให้บันทึกมันไม่สมบูรณ์
ฉันจะต้องหาส่วนที่หายไป
ในที่สุดฉันก็รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว
มีสี่หน้าที่หายไป
กลุ่มนักเทววิทยาเล็กๆ ได้เก็บซ่อนพวกมันไว้
ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเราวาดอส ได้จัดการกับพวกมัน
และหน้าต่างๆ ก็ถูกกู้คืนมา
ตอนนี้ฉันรอเวลาที่เหมาะสมที่จะทำพิธี
ความทรงจำของฉันตอนนี้ได้พักอยู่ในสถานที่แห่งนี้
เคียงข้างผู้คนของฉัน

มาถึงตรงนี้เทเมนอสก็รู้แล้วว่าสาเหตุการตายของพระสังฆราชเริ่มมาจากอะไร มันเริ่มมาจากการเก็บกู้หน้าหนังสือที่หายไป แต่หากเป็นเช่นนี้จริง ใครเป็นคนเขียนบันทึกเล่มนี้เอาไว้ล่ะ พวกเขาได้ใช้ให้วาดอสทำหน้าฆ่าคนและเก็บกู้ส่วนที่หายไป ตอนนี้เทเมนอสก็รู้สึกว่าเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

สุดท้ายจึงได้เดินออกจากซากปรักและพบกับเรซ่าที่ยืนรอคอยอยู่ที่ทางเข้า
เทเมนอส: บาปของพวกคุณนี่มันช่างลึกเสียจริง
เรซ่า: เมื่อนานมาแล้วเกิดไฟไหม้ในหมู่บ้านของฉัน มีคนจำนวนมากเสียชีวิตจากไฟไหม้ นายท่านของเราได้บอกว่า มันเกิดขึ้นเพราะพวกกลุ่มคนที่บูชาเปลวไฟ ไฟนำพาให้เกิดความหายนะ นั่นแหละคือสิ่งที่ภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ได้สอนเอาไว้ และพวกเราก็เชื่อมัน ทุกคนเชื่อมันโดยไม่สงสัย
เทเมนอส: เพราะแบบนั้นพวกคนจากหมู่บ้านของเธอ ก็เลยได้มาก่อเหตุสังหารหมู่ชาวคาลใช่มั้ย?
เรซ่า: พวกเรา พวกเรารู้แล้วว่าได้ทำผิดไป แต่พวกเราก็ยังคงปิดปากและเก็บความลับเอาไว้ ฉันขอโทษ ได้โปรดเมตตาด้วย
เทเมนอส: ใครคือนายท่านของพวกเธอ? แล้วผู้นำแบบไหนถึงจะสั่งให้ภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ก่อเหตุสังหารหมู่
เรซ่า: … อย่ายอมจำนนต่อความมืดมิดอันเงียบงัน เพราะแสงสว่างจะจางหายไป และรัตติกาลกำลังมาเยือน
เทเมนอส: เธอพูดว่าอะไรนะ
เรซ่า: มันคือสิ่งที่พวกเราถูกสอนมา
เทเมนอส: รัตติกาลกำลังมาเยือน มันคือสิ่งที่ถูกสอนกันมาในภาคีแห่งร่มเงาจันทร์งั้นหรอ
เรซ่า: ใช่ แต่ฉันคิดผิดที่เชื่อมัน ได้โปรดประทานการพิพากษาอันศักดิ์สิทธิ์แก่ฉันด้วย
เทเมนอส: เธอต้องชดใช้สิ่งที่เธอได้ทำลงไปด้วยตัวเอง การตัดสินของฉันจะไม่ทำให้เธอพ้นผิด

หลังจากนั้นเทเมนอสก็ได้เดินออกมาถึงที่หน้าหมู่บ้านและกำลังคิด
และรัตติกาลกำลังมาเยือน คำอำลาของพระสังฆราชไม่ได้มาจากชาวคาล แต่มาจากภาคีแห่งร่มเงาจันทร์ และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้หนึ่งในบทของหน้ากระดาษที่หายไปจากหนังสือแห่งรัตติกาล ประวัติศาสตร์ของภาคีแห่งร่มเงาจันทร์มีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับช่วงเวลานั้น บางทีพระสังฆราชต้องการบอกให้ทราบถึงความเชื่อมโยงนี้ มีเงาลึกลับได้แฝงตัวอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมต่อเนื่อง ฉันต้องหาตัวคนที่เขียนบันทึกให้เจอ และเชื่อว่าสถาปนิกวาดอสน่าจะให้คำตอบนี้ได้ การค้นหาคำตอบเหล่านี้อาจต้องใช้การสอบปากคำอย่างไม่ต้องสงสัย Stormhail ฉันจะต้องเดินทางไปที่นั่น ฉันต้องเปิดเผยความจริงให้ได้

เทเมนอสคิดถูกที่ได้เดินทางไปตรวจสอบซากปรักอาทิตย์ตก
ที่นั่นเขาพบประวัติศาสตร์ของผู้คนที่ถูกสังหาร
เรื่องราวมืดมนที่ถูกส่งต่อผ่านภาพจิตรกรรมโบราณ
แผนการของอัจฉริยะที่ชั่วร้ายตอนนี้ชัดเจนขึ้นมาแล้ว
แต่พิธีกรรมอะไรที่เรียกคืนรัตติกาล?
ตอนนี้มันเป็นเหมือนเส้นด้ายที่หลวมจนเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถดึงออกมาได้

Temenos – Chapter 3: Crackridge Route End

เป้าหมายต่อไปของเราจะอยู่ที่เกาะกลางทะเลเนื้อเรื่องในบทสุดท้ายของพาร์เททิโอ ให้เราเริ่มจากวาร์ปไปที่เมือง Beasting Bay: Anchor เมื่อวาร์ปมาแล้วให้เราวิ่งขึ้นบันไดไปที่เรือที่อยู่ด้านหลังเราเลย จากนั้นเดินเรือมาทางซ้ายนิดเดียวก็จะพบเข้ากับ Roque Island: Anchorage แล้ว ก็ให้เราขึ้นไปบนเกาะได้เลย ที่เกาะแห่งนี้จะมีมอนสเตอร์เลเวลประมาณ 45 ถ้าใครยังสู้ไม่ค่อยไหวแนะนำให้เก็บเลเวลเพิ่มอยู่ภายในเกาะนี้ก่อนก็ได้เช่นกัน เมื่อคิดว่าพร้อมแล้วให้สำรวจเกาะและเดินทางไปที่ด้านบนจนเข้าสู่ตัวเมืองในแผนที่ Roque Island เราก็สามารถเริ่มเนื้อเรื่องบทที่ 4 ของพาร์เททิโอกันได้แล้ว

Partitio – Chapter 4

Share:

Facebook
X
Flex-Ad-Side-Bar.png
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.