บทสรุป Agnea – Chapter 2

แอ็กเนียได้เดินทางมาถึงมหานคร New Delsta ในสมัยก่อนหม่าม้าได้พาเธอเดินทางไปทั่วทวีปฝั่งตะวันตก แต่เธอก็ไม่เคยเห็นเมืองที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลย แล้วเธอก็เห็นป้ายประกาศ การแสดงของซุปเปอร์สตาร์ โดลซิเนีย เมื่อเธอมองไปทั่วทั้งเมืองต่างก็มีป้ายแบบนี้ติดอยู่ไปทั่ว แถมชาวเมืองต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของโดลซิเนีย ทำให้แอ็กเนียอยากจะพบกับเธอ

ทีนี้ก็ให้เราเดินทางไปยังด้านหน้าโรงละคร ที่อยู่ซ้ายบน เมื่อมาแล้วให้ไปคุยกับการ์ดที่อยู่หน้าประตู แอ็กเนียได้เห็นโรงละครใหญ่ครั้งแรกก็รู้สึกตกใจ จากนั้นก็พยายามเดินเข้าไป แต่การ์ดที่อยู่หน้าประตูได้ขอตรวจตั๋วเข้าชม เนื่องด้วยแอ็กเนียไม่มีจึงไม่สามารถเข้าไปภายในได้ จึงต้องออกตามหาตั๋วเข้าชมกันก่อน

ต่อไปให้เราเดินไปที่บาร์และปรับเวลากลางคืนจากนั้นให้ใช้ Entreat เพื่อขอตั๋วจากผู้หญิงชุดเขียวที่ยืนอยู่หน้าบาร์ แล้วเราจะได้ Theater Ticket มา ทีนี้ก็กลับไปที่โรงละครที่เดิมแล้วกดคุยกับการ์ด เพื่อยื่นตั๋วเข้าชมให้กับเขา

เมื่อเราได้ชมโชว์การแสดงของโดลซิเนียเสร็จฉากจะตัดมาที่หน้าโรงละคร มีชายคนนึงถูกการ์ดโยนออกมาที่หน้าโรงละคร จากนั้นชายที่ชื่อ ลามานี่ก็บอกว่าหากต้องการเข้าชมการแสดงก็ควรซื้อตั๋วมาสิ ชายที่ถูกโยนก็เถียงว่ามันแค่เงินนิดเดียวทำไมเขี้ยวขนาดนี้ เขาแค่อยากชมการแสดงนิดหน่อยเอง ลามานี่ก็บอกว่าโดลซิเนียเป็นสุดยอดนักเต้นแห่งนี้ และนี่คือโรงละครไม่ใช่การกุศล กลับมาเมื่อมีเงินหรือไม่ก็ไม่ต้องมาเลย จากนั้นสักพักชายคนนั้นก็ยังยืนอยู่ที่เดิมและบ่นว่า การแสดงมันจบลงซะแล้วดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ดู แล้วเขาก็หันไปเห็นแอ็กเนียที่ออกมายืนเต้นอยู่หน้าโรงละครพอดี ชายคนนั้นก็ได้ตบมือชมการเต้นของแอ็กเนีย แล้วเขาก็แนะนำตัวเองว่าชื่อ กิล เปิดบาร์อยู่ที่ตรอกหลังเมือง แล้วกิลก็ชวนแอ็กเนียให้ไปที่บาร์ของเขาด้วย แล้วเขาจะเสิร์ฟกาแฟเป็นค่าชมการเต้นของเธอเมื่อกี้นี้

ทีนี้ก็ให้เราไปที่ New Delsta: Backstreets เดินไปทางฝั่งซ้ายของแผนที่แล้วขึ้นบันไดไปก็จะพบกับบาร์ของกิลแล้ว เมื่อมาถึงกิลก็เสิร์ฟกาแฟตามที่ได้บอกเอาไว้ พอแอ็กเนียชิมก็บอกว่ามันรสชาติหวานปนขม กิลก็บอกว่านี่แหละคือรสชาติของความฝัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถกลายเป็นดาราได้ ส่วนที่เหลือเป็นเพียงฝุ่นดาวในสายลม แล้วกิลก็บอกว่าให้ทำตัวตามสบายได้เลย แอ็กเนียก็เดินชมบาร์อยู่แล้วสังเกตุเห็นเปียโนที่อยู่บนเวทีก็เลยถามว่ากิลเล่นเปียโนเป็นมั้ย กิลบอกว่า มอนเทรนน่ะเล่นได้ มอนเทรนเขาคือนักเปียโนชื่อดัง สามารถดึงดูดผู้คนได้ด้วยเสียงเพลง หลังจากที่เขาเกษียณก็กลายมาเป็นผู้ดูแลที่บาร์แห่งนี้ กิลก็เล่าต่อว่าเขาเกิดที่เมืองนี้ ทุกวันนั้นน่าเบื่อ ยกเว้นช่วงเวลาที่เขาได้ยินเสียงเปียโนที่ดังออกมาจากตรอก ตอนที่ได้ยินเสียงเมโลดี้ทำให้เขาลืมปัญหาทุกอย่างไป เลยพยายามมาที่นี่ทุกครั้งเท่าที่ทำได้ มอนเทรนได้เคยสอนให้เล่นเปียโน ทำให้กิลก็อยากทำเพลงแบบเขา ที่ทำให้คนอื่นยิ้มได้ จากนั้นก็ได้ฝึกและฝึก บางครั้งก็มีลูกค้าหัวเราะเยาะใส่ แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ โดยที่ไม่รู้ตัวเวลาหลายปีก็ได้ผ่านไป และก็ไม่มีใครสนใจดนตรีของเขาเลย มอนเทรนก็แก่ตัวลงและเสียชีวิตไป ตอนนั้นเองทำให้กิลคิดได้ว่าเขาไม่มีพรสวรรค์ จากนั้นลูกค้าในร้านก็บอกว่าหยุดรำลึกความหลังเถอะ เขาหิวน้ำแล้ว ทางแอ็กเนียบอกว่าเขาอยากได้ยินเสียงเปียโนของกิล แต่กิลบอกว่าเลิกเล่นมันแล้ว ลูกค้าในร้านพูดว่า ความฝันนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากทำให้เจ็บปวด แอ็กเนียเลยเสนอว่าเธออยากขอเต้นโชว์ที่นี่ได้มั้ย กิลก็ตกลง ทีนี้แอ็กเนียก็จะออกไปตามหาผู้ชม เพราะการแสดงจะเริ่มได้อย่างไรหากขาดพวกเขา 

นี่แหละคือบาร์ของกิล

ทีนี้เราจะต้องไปตามหาเหล่าผู้ชมแล้วพามาที่บาร์ 
– คนแรกจะอยู่ที่เชิงบันไดนี่แหละ เมื่อเจอเขาแล้วก็ปรับเป็นเวลากลางวันแล้วกดใช้ Allure ใส่ เสร็จแล้วก็วิ่งกลับไปที่บาร์

– คนที่สองจะอยู่บริเวณบันไดทางฝั่งขวาของแผนที่

– คนที่สามอยู่บริเวณหน้าโรงละคร

พอครบ 3 คนแล้วกิลก็จะถามว่าเริ่มกันเลยมั้ยก็ให้ตอบ Yes ไป เริ่มการแสดง เหล่าผู้ชมในร้านก็ชื่นชอบการแสดงของแอ็กเนียกันใหญ่ แอ็กเนียก็เลยขอกิลว่าเธอจะมาเต้นที่นี่อีกสักพักเลยได้มั้ย ซึ่งกิลก็ไม่ปฏิเสธเพียงแต่เขาไม่มีค่าจ้างให้เธอนะ แอ็กเนียก็บอกว่าไม่เป็นไรเธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว

หลังจากนั้นไม่กี่วันต่อมา
เหล่าชาวบ้านที่ยากจนอาศัยอยู่ตรอกหลังเมืองก็เริ่มมีการพูดถึงการแสดงของแอ็กเนียในบาร์ของกิล นอกจากนั้นยังพูดกันว่าเพียงแค่เห็นการเดินของแอ็กเนียก็ทำให้รู้สึกมีแรงมีกำลังใจมากขึ้นแล้ว ทีนี้เหล่ากลุ่มคนก็เข้ามารอแอ็กเนียอยู่ในบาร์ พอเห็นแอ็กเนียปรากฏตัวเดินเข้ามาในร้าน บางคนก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว ระหว่างนั้นเองกิลก็บอกว่าเขาลืมซื้อของบางอย่างเข้าร้าน แอ็กเนียเลยเสนอตัวว่าจะออกไปซื้อให้แทน ระหว่างที่แอ็กเนียวิ่งออกไป ก็ไปเจอเข้ากับลามานี่และลูกน้องเดินเข้าไปในบาร์

แล้วฉากก็จะตัดไปที่แอ็กเนียหลังจากซื้อของเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังกลับไปที่บาร์ ก็มาเจอกับกลุ่มของลามานี่ที่กำลังรังแกคนแก่อยู่กลางถนน แอ็กเนียเลยเข้าไปช่วย ทำให้ฝั่งลามานี่หยุดมือแล้วเดินจากไป ทีนี้แอ็กเนียก็กลับมาถึงบาร์ จะเห็นว่าสภาพภายในร้านตอนนี้เละมาก แม้กระทั่งเปียโนก็พัง ปรากฏว่าเป็นพวกลามานี่ก็เข้ามาพังร้าน เพราะเขาเห็นว่ากิจการภายในบาร์กำลังเป็นไปด้วยดี และลามานี่ก็บอกด้วยว่าหากเริ่มการแสดงที่นี่อีก เขาก็จะเข้ามาพังร้านอีก กิลก็บอกว่า ความฝันนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากทำให้เจ็บปวด ตั้งแต่แอ็กเนียมาที่ร้าน ก็ทำให้เขาเห็นความหวัง ทุกคนที่มาที่ร้านก็เต็มไปด้วยความสุข มันทำให้เขาคิดถึงความฝันของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเริ่มเล่นเปียโนและแต่งเพลง แต่ดูเหมือนว่ามันยังไม่พอที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง เขาเป็นเพียงฝุ่นดาวในสายลม แอ็กเนียก็บอกว่าให้หยุดพูดว่า ความฝันนั้นไม่มีประโยชน์ เธอจะออกไปจัดการกับลามานี่เอง

ตอนนี้ก็ให้เราไปที่โรงละคร สำรวจและบุกตะลุยข้างในนี้ให้ทั่วจนกระทั่งเราเจอตัวลามานี่ที่เวทีการแสดง ลามานี่ก็บอกว่าในเมืองนี้ไม่จำเป็นต้องมีที่จัดการแสดงถึง 2 ที่ ใครก็ตามที่ต้องการความบันเทิงไม่จำเป็นต้องมองหาที่อื่นนอกจากเวทีที่ยืนอยู่นี้ แอ็กเนียก็บอกว่า นายจะต้องเสียใจที่พรากความสุขไปจากคนอื่น และลามานี่ต้องให้สัญญาว่าจะไม่แตะต้องบาร์แห่งนั้นอีก เธอจะไม่ยอมออกไปจากที่นี่จนกว่าลามานี่จะสัญญามา ลามานี่ก็ไม่พอใจแอ็กเนียจนทั้ง 2 ฝ่ายก็ต่อสู้กัน

เมื่อเราชนะแล้ว โดลซิเนียก็จะออกมาบอกให้พวกเราหยุดการต่อสู้ จากนั้นเธอก็สั่งให้ลามานี่หยุดไปยุ่งกับบาร์แห่งนั้น ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มาแสดงที่โรงละครแห่งนี้อีกต่อไป ทำให้ลามานี่ไม่มีทางเลือกจนต้องสัญญากับแอ็กเนียว่าจะไม่ไปยุ่งกับบาร์แห่งนั้นแล้ว จากนั้นแอ็กเนียก็มีโอกาสได้บอกกับโดลซิเนียว่าเธอก็มีความฝันอยากเป็นดาราแบบโดลซิเนีย โดลซิเนียเลยตอบรับว่า “มีหนึ่งอย่างที่เธอต้องรู้ เส้นทางสู่การเป็นดารานั้นเต็มไปด้วยขวากหนาม นักเต้นตัวน้อย” เมื่อเสร็จเรื่องแล้วแอ็กเนียก็กลับออกมาจากโรงละคร แล้วก็พบเข้ากับกลุ่มของกิลที่ค่อนข้างเป็นห่วงแอ็กเนีย แอ็กเนียก็เลยบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงตอนนี้ที่บาร์ก็ปลอดภัยแล้ว เพราะว่าโดลซิเนียบังคับให้ลามานี่เลิกยุ่งกับพวกกิล จากนั้นก็กลับมาที่บาร์กันแล้วพบว่ากิลได้ซ่อมเปียโนแล้ว แอ็กเนียก็ดีใจเลยอยากจัดงานฉลอง แต่กิลไม่เห็นด้วยจากนั้นก็บอกแอ็กเนียว่า ที่นี่มันเล็กเกินไปไม่เหมาะกับเธอเลย โลกข้างนอกยังต้องการคนแบบเธอ จากนี้ไปพวกเขาจะพยายามสร้างความสุขนำพาความหวังมาด้วยตัวเอง เธอเป็นส่วนช่วยที่ทำให้พวกเขาจำอะไรบางอย่างที่สำคัญขึ้นมาได้ จากนั้นกิลก็เล่นเปียโนและแอ็กเนียก็ตอบรับด้วยการเต้น ทำให้การแสดงได้เริ่มขึ้นทันที เหล่าผู้คนก็เข้ามาชมการแสดงกันมากขึ้น

เช้าวันถัดมาที่หน้าทางเข้าเมืองดูเหมือนว่าแอ็กเนียตัดสินใจที่จะออกเดินทางต่อทำให้กิลและเหล่าผู้คนจากบาร์ก็มาล่ำลากัน ซึ่งกิลก็ได้มอบของขวัญให้แก่แอ็กเนีย มันคือทำนองเพลงที่เขาแต่งเองชื่อเพลงว่า “Song of Hope” (เพลงแห่งความหวัง) มันเป็นเพลงที่เขาเล่นเมื่อคืนนี้แหละ แอ็กเนียก็ขอบคุณมันเป็นทำนองที่รู้สึกได้เลยถึงความหวัง กิลก็บอกว่ามันก็แค่เพียงทำนองเพลงเท่านั้น ยังไม่มีเนื้อเพลงเลย แอ็กเนียก็เลยบอกว่าเธอขอเป็นคนแต่งเนื้อเพลงจะได้มั้ย ในระหว่างเดินทางน่าจะทำให้เธอมีไอเดียในการแต่งเนื้อเพลงได้ ทางกิลก็บอกว่าเขาก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นและรอที่จะฟังเพลงนี้เมื่อมันแต่งเสร็จเลยล่ะ แล้วกิลก็ถามว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับเมืองนี้ล่ะ ตอนนี้เราจะสามารถเลือกตอบคำถามได้
“The worth of a dream.” (คุณค่าของความฝัน)
“The courage to rise again.” (ความกล้าที่จะลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง)
“Unshakable pride.” (ความภูมิใจอันไม่สั่นคลอน)
การตอบคำถามนี้ไม่ส่งผลต่อเนื้อเรื่อง เพียงแค่มันคือความรู้สึก ก็ให้เลือกตอบตามความคิดของเราเองได้เลย

ในมหานคร New Delsta แอ็กเนียรู้สึกตื่นตาตื่นใจเมื่อได้พบกับผู้คน
บนเวทีมีซุปเปอร์สตาร์ระดับนานาชาติที่เปล่งประกาย
ในบาร์ที่ทรุดโทรมมีนักเปียโนที่มีความฝันอันเรียบง่ายเกี่ยวกับความสุข แสงไฟที่สว่างไสวของเมืองส่องสว่างเส้นทางของเธอ
เธอเดินต่อไปพร้อมกับแผ่นเพลงหนึ่งแผ่นในมือ

ฉากจะตัดมาที่โรงละคร บอดี้การ์ดของโดลซิเนียก็ได้ถามว่า ทำไมโดลซิเนียถึงใจดีกับนักเต้นตัวน้อยนั่นจัง โดลซิเนียก็บอกว่า “ใจดีงั้นหรอ? ลืมมันไปได้เลย บาร์นั่นไม่ส่งผลอะไรกับฉันหรอก แต่ที่สำคัญกว่านั้น ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผนใช่มั้ย” บอดี้การ์ดก็ตอบว่าใช่

Agnea – Chapter 2 End

ไม่รู้ว่าเธอวางแผนอะไร แล้วเธอเป็นคนดีหรือคนร้ายกันแน่!?

ทีนี้เป้าหมายต่อไปของเราจะอยู่ที่เมือง Montwise ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องบทที่ 2 ของฮิคาริ โดยเริ่มจากให้เราวาร์ปไปที่เมือง Flamechurch เมืองเริ่มต้นของเทเมนอส แล้วก็ออกไปที่แผนที่ Eastern Flamechurch Pass วิ่งไปจนถึงทางแยก บริเวณนี้ก็ให้ออกไปทางขวาจนสุดทางก็จะเข้าสู่ Borderfall ในแผนที่นี้เมื่อเดินตามทางจนเจอสะพานให้เราวิ่งไปทางซ้ายก่อนจนสุดทางก็จะพบเข้ากับ Cleric Guild ก็ให้คุยกับ Clerics Guild Master ก็จะปลดล็อคอาชีพรองของ Cleric ได้แล้ว

โบสถ์บนภูเขา ปลดล็อคอาชีพรอง Cleric

ทีนี้ให้กลับมาทางเดิมแล้ววิ่งข้ามสะพานไป จะสังเกตุเห็นบันไดที่สามารถลงไปทางด้านล่างเขาได้ ก็ให้ลงแล้วนั่งเรือไปที่บริเวณด้านบนกลางน้ำตกจะมีถ้ำอยู่ ซึ่งถ้ำแห่งนี้คือ Seat of the Water Sprite แผนที่เลเวล 26 เหมาะกับการเก็บเลเวลมาก โดยภายในถ้ำแห่งนี้แนะนำให้เดินสำรวจให้ทั่วพร้อมกับเก็บเลเวลไปด้วย ซึ่งไอเทมสำคัญที่ต้องเก็บจะมีอยู่ 2 อย่าง เครื่องประดับ Blessing in Disguise เครื่องประดับอันนี้ความสามารถของมันก็คือ เปลี่ยนค่าลบบนอุปกรณ์อื่นเป็นค่าบวก เอามาใช้คู่กับอาวุธบางอย่างและเครื่องประดับ Rosary of Redemption (Phys Atk. -60, Critical -60) ได้ดีมาก อีกหนึ่งอย่างจะอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ Rusty Staff เป็นหนึ่งในไอเทมที่เอาไว้ใช้ปลดล็อคอาชีพเสริมพิเศษ

กล่องสมบัติด้านในสุดของถ้ำ เปิดแล้วจะได้ Rusty Staff ไอเทมสำคัญไว้ปลดล็อคอาชีพพิเศษ

เมื่อได้รับไอเทมทั้ง 2 อย่างที่ว่าแล้วก็ให้กลับออกมาแล้ววิ่งไปตามทางจะเข้าสู่แผนที่ Western Montwise Pass ทางแยกแรกให้ไปทางขวาแล้วเจออีกทางแยกให้ไปทางด้านบน ก็จะเข้าสู่เมือง Montwise จากนั้นก็เลือกเนื้อเรื่องบทที่ 2 ของฮิคาริได้เลย

Hikari – Chapter 2

ในที่สุดก็มาถึง Montwise ซักที

Share:

Facebook
X
Flex-Ad-Side-Bar.png
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.